สงครามสร้างความมั่งคั่ง เริ่มต้นรวยด้วยปลายนิ้ว
ธนาคารพาณิชย์และธุรกิจในเครือลงสนามแอปพลิเคชั่นลงทุน
จับกระแสคนรุ่นใหม่และคนใช้งานในยุค Mobile First ที่อยากเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่ง
พร้อมเตรียมต่อยอดทั้งกองทุน หุ้น และประกัน
EASY INVEST
รายแรกในไทยที่ใช้ AI
นายเฉลิมวุฒิ ชมะนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการ Chief
Technology Office บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)
เปิดเผยว่า
ทุกเครื่องมือทางการเงินที่สามารถสร้างผลตอบแทนล้วนเป็นเครื่องมือที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ทั้งสิ้น
ทั้งเครื่องมือทางการเงินแบบดั้งเดิมอาทิเช่น เงินฝาก หุ้น หรือตราสารหนี้
หรือจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่งถูกพัฒนาขึ้น เช่น Digital Token หรือ
Crowdfunding และหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นประเภทมือใหม่หรือมีประสบการณ์ที่สามารถรับความเสี่ยงสูงหรือความเสี่ยงต่ำ
นั่นก็คือ กองทุนรวม
ทั้งนี้
สาเหตุที่กองทุนรวมสามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะดวกสบาย มีมืออาชีพช่วยดูแล
(ผู้จัดการกองทุน) มีสินทรัพย์ในการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้
ความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม
สินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนรวมทองคำหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
อีกทั้งกองทุนรวมยังมีสภาพคล่องสูง
สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ
และกองทุนรวมหลายชนิดยังมีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศช่วยให้นักลงทุนสะดวกสบายกว่าการซื้อหุ้นต่างประเทศด้วยตัวเองจึงทำให้ในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
“นักลงทุนมือใหม่ที่สนใจลงทุน
แต่ไม่มีเวลาหรือไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แอปพลิเคชั่น EASY INVEST มีบริการ
ROBO ADVISOR หรือบริการสร้างและบริหารพอร์ตกองทุนรวมอัตโนมัติ
ซึ่งใช้ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะ (AI) ช่วยออกแบบและบริหารจัดการพอร์ตกองทุนรวมให้อัตโนมัติ
ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและความเสี่ยงของผู้ลงทุน โดยบริการ ROBO ADVISOR ของบริษัท
ถือเป็นรายแรกในประเทศที่นำเอาเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะ (AI) มาช่วยในการจัดพอร์ตกองทุนรวม”
นายเฉลิมวุฒิ กล่าวว่า นักลงทุนที่มีประสบการณ์
แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อกองทุนไหนดี แอปพลิเคชั่น EASY INVEST มีกองทุนรวมแนะนำที่คัดสรรด้วยผู้เชี่ยวชาญ,
AI และข้อมูลทางสถิติ เริ่มจาก SCBS Recommendation เป็นกองทุนรวมแนะนำที่คัดสรรโดยผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งกองทุนรวมเน้นการเติบโต กองทุนรวมเน้นสร้างรายได้สม่ำเสมอ
และกองทุนรวมลดหย่อนภาษีอย่าง SSF RMF
สำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในความสามารถของ AI
แอปพลิเคชั่น EASY INVEST ก็มี Your Top Funds ซึ่งมีเบื้องหลังเป็น
AI ที่ช่วยค้นหาและคัดสรรกองทุนรวมจากสไตล์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน
แล้วแนะนำกองทุนรวมที่เหมาะสมกับนักลงทุนคนนั้นอย่างเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่น EASY INVEST ยังมี
Trending Funds ซึ่งรวบรวมข้อมูลกองทุนรวมที่มียอดนักลงทุนซื้อสูงสุดในตลาด
ทั้งกองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น และกองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก
เพื่อให้นักลงทุนใช้แนวโน้มตลาดช่วยในการตัดสินใจลงทุนตามสไตล์ที่ชอบ
อย่างไรก็ดี
การลงทุนด้วยแอปพลิเคชั่นบนมือถือในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
สังเกตได้จากตัวเลขการเปิดบัญชีลงทุนที่มียอดสูงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉลี่ยมีผู้ใช้รายใหม่กว่าสามหมื่นคนต่อเดือน
และอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายในการทำธุรกรรม
รวมไปถึงอัตราการใช้งานของ Mobile Banking ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น
จึงทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือมากขึ้น
รวมไปถึงมีผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นและตัวแทนขายหน่วยลงทุนก็เริ่มเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดีว่าแนวโน้มการลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือจะสูงขึ้น
และจะมีการแข่งขันกันระหว่างผู้เล่นแต่ละรายที่มากขึ้นจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามการลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ
ตั้งเป้าแตะ 1 ล้านราย
ลงทุนตรง ตปท.ในปีนี้
คุณเฉลิมวุฒิ ชมะนันทน์ (ซ้าย), ดร.ฉัตริน ลักษณบุญส่ง (ขวา)
ดร.ฉัตริน ลักษณบุญส่ง กรรมการผู้จัดการ Data
Analytics and Digital Business Group บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS)
กล่าวว่า ปัจจุบัน EASY INVEST มีฐานลูกค้ากว่า
400,000 บัญชี โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ฐานลูกค้าเติบโตขึ้นกว่า 400%
และยอดการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 12 เท่า
เนื่องจากการลงทุนต่างประเทศที่กำลังมาแรงและเป็นที่สนใจของลูกค้า และ
แอปพลิเคชั่น EASY INVEST เองก็มีจุดแข็งที่สามารถเปิดบัญชีได้เร็ว
และสามารถลงทุนออนไลน์ได้ทันที
โดย EASY INVEST มีปริมาณธุรกรรมการลงทุน
(ซื้อ-ขาย) ราว 11,000-12,000 รายการต่อวัน หรือ 200,000-300,000 รายการต่อเดือน
โดยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา พบว่า ผู้ลงทุนที่เข้ามาลงทุนผ่าน EASY INVEST
ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะช่วงอายุ 25-35 ปี มีสัดส่วนถึงราว
40-58% ของลูกค้าทั้งหมด และเป็นการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศกันค่อนข้างมากราว
60% โดยกองทุนเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา และในจีนที่ได้รับความนิยมมาก
เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดี
ภายในปี 2565 EASY INVEST ตั้งเป้าหมายมีผู้ใช้งาน
1 ล้านบัญชี บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
เน้นบริการที่สร้างความสะดวกสบายให้กับนักลงทุนในทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การเปิดบัญชีจนถึงการซื้อขาย โดยมุ่งพัฒนาแอปพลิเคชั่น EASY INVEST ให้เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนแห่งอนาคต
ตอบโจทย์ทุกสไตล์การลงทุน ด้วยการลงทุนแบบ Open Architecture ให้นักลงทุนเลือกลงทุนในกองทุนรวมทั้งไทยและต่างประเทศ
โดยในปี 2563 ได้มุ่งพัฒนา Your Top
Funds และ Trending Funds เพื่อแนะนำกองทุนรวมที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
และได้มีการพัฒนาคำสั่งซื้อกองทุนรวมอัตโนมัติ
เพื่อเอาใจนักลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และสะสมความมั่งคั่งอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับในปี 2564 แอปพลิเคชั่น EASY
INVEST เริ่มต้นปีด้วยการเพิ่มจำนวนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
(บลจ.) ที่เข้ามาเป็นพันธมิตรขายกองทุนบนแอปพลิเคชั่น EASY INVEST ทั้งหมดถึง
19 บลจ. และทีมงานจะมุ่งหาพันธมิตรเพิ่ม เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนครบทุก บลจ.
ในประเทศไทย
“ในช่วงกลางปีและปลายปี 2564 แอปพลิเคชั่น EASY
INVEST จะเปิดให้ลงทุนทั้งในหุ้นและกองทุนรวมต่างประเทศได้โดยตรง
ช่วยให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น ทำให้แอปพลิเคชั่น EASY INVEST
เป็นแอปพลิเคชั่นเดียวที่สามารถจะลงทุนได้ครบทุกสินทรัพย์ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดบัญชีหลายที่
เลือกลงทุนได้ง่ายสมกับชื่อของแอปพลิเคชั่น “EASY INVEST”
ลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นฮิต
BBL ชี้ตอบโจทย์ Mobile First
นางปรัศนี อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ในยุค Mobile First เช่นปัจจุบัน
พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน
ทั้งตัวเลขการเติบโตของปริมาณการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่าน Digital Platform รวมถึงจำนวนผู้ใช้งานที่เริ่มกระจายตัวไปสู่ผู้คนในวงกว้างมากขึ้น
ประกอบกับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ช่วยเติมเต็ม Digital
Lifestyle Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์ ตามนโยบาย Cashless
Society ของภาครัฐ ผ่านการขับเคลื่อนของแต่ละแพลตฟอร์ม
ช่วยเพิ่มรูปแบบของธุรกรรมต่างๆ
ให้มีความหลากหลายและรองรับไลฟ์สไตล์ผู้คนในแต่ละกลุ่มได้อย่างครอบคลุม
โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่มองหาหนทางในการสะสมความมั่นคั่ง
เพื่อสร้างความมั่นคงให้ชีวิตพร้อมรับกับทุกความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ช่องทางการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลจึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุนได้อย่างตอบโจทย์
ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ก็กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งสำคัญ
ที่ช่วยผลักดันการเติบโตของปริมาณการทำธุรกรรมรวมไปถึงแนวโน้มการลงทุนในฟากฝั่งดิจิทัลให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้
ช่องทางดิจิทัลได้กลายเป็นช่องทางหลักที่ถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องในการทำธุรกรรมการเงินในชีวิตประจำวันของผู้คน
โดยพบว่า มากกว่า 60% ของธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดในปัจจุบันอยู่บนช่องทางดิจิทัล
เนื่องจากการวางรากฐานของงานระบบซึ่งเชื่อมต่อกันได้อย่างทั่วถึง
รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการยกระดับ Digital Experience เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่มุ่งเน้นอำนวยความสะดวกให้กับ Users ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานทั่วไป หรือกลุ่มนักลงทุน ที่เริ่มเห็นเทรนด์ในการเข้ามาลงทุนผ่าน Mobile Banking เพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเป็นช่องทางที่สะดวก และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการลงทุนต่างๆ ที่ลงทุนไปได้ตลอดเวลา
ปัจจุบัน ช่องทาง Bangkok Bank Mobile
Banking มีผู้ใช้งานโดยรวมกว่า 10 ล้านคน
โดยเฉพาะการเติบโตของกลุ่มผู้ใช้งานนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีพฤติกรรม Mobile
First จึงคาดว่าจะมีการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม Bangkok Bank
Mobile Banking ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาฟีเจอร์ให้สามารถรองรับความต้องการลงทุนรูปแบบต่างๆ
และช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนได้ตลอดทั้งกระบวนการ
ตั้งแต่การทำแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุน ไปจนถึงขั้นตอนการชำระเงิน
เพื่อเปิดกว้างสำหรับผู้ใช้งานทุกคนที่มีความสนใจด้านการลงทุน
สามารถลงทุนผ่านแพลตฟอร์มได้ทันที โดยฟีเจอร์การลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงคือ
การซื้อขายกองทุนประเภทต่างๆ”
นางปรัศนีกล่าวอีกว่า Bangkok Bank
Mobile Banking ให้ความสำคัญกับการยกระดับ Digital
Experience ของผู้ใช้งานทุกคน
จึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม
สามารถรองรับการทำธุรกรรมต่างๆ อย่างรอบด้าน ขณะที่ด้านการลงทุน ปัจจุบันผู้ใช้งาน
Bangkok Bank Mobile Banking สามารถซื้อกองทุนใหม่ผ่านแพลตฟอร์มได้
รวมทั้งยังเป็นช่องทางการจองซื้อหุ้นกู้ พันธบัตร และหลักทรัพย์
โดยในช่วงกลางปีนี้ทางแพลตฟอร์มจะต่อยอดให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีกองทุนกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM และบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด
(มหาชน) หรือ BLS ได้
รวมถึงเพิ่มเติมความหลากหลายของกองทุนต่างๆ
เช่น กองทุนเปิดบัวหลวงยั่งยืน (B-SIP) ที่กำลังจะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังตราสารทุนต่างประเทศ
และสนใจลงทุนในบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการอย่างยั่งยืน (Sustainability)
ซึ่งกำลังเป็นทิศทางที่เกาะกระแสการลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้
เพื่อตอบสนองความต้องการและเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น
“เรายังพบอินไซต์ที่น่าสนใจของกลุ่มผู้ใช้งาน Bangkok
Bank Mobile Banking ที่สนใจการลงทุน
จากการร่วมเป็นตัวแทนจองซื้อหุ้น OR ในช่วงที่ผ่านมา โดยพบว่ากว่า 90%
ของลูกค้าที่ทำการจองซื้อหลักทรัพย์เข้ามา เลือกจองผ่านฟีเจอร์ใหม่บนแพลตฟอร์มอย่าง
“จองซื้อหลักทรัพย์” และยังพบด้วยว่ากว่า
80% เป็นลูกค้าที่ใช้บริการ Bangkok Bank Mobile Banking เป็นประจำอยู่แล้ว
แต่ยังไม่เคยทำธุรกรรมจองซื้อหลักทรัพย์มาก่อน”
นอกจากนี้ ยังมีลูกค้านักลงทุนอีกเกือบ 10%
สมัครเข้าใช้งานโมบายล์แบงกิ้ง
เพื่อให้สามารถทำรายการจองซื้อหลักทรัพย์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในครั้งนี้ได้
สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
พฤติกรรมลูกค้านักลงทุนในปัจจุบันมักจะมองหาช่องทางการลงทุนที่สามารถอำนวยความสะดวกและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
จึงเชื่อได้ว่าในอนาคตจะมีลูกค้านักลงทุนเข้ามาลงทุนผ่าน Digital Platform เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ธนาคารกรุงเทพ โดย Bangkok Bank Mobile
Banking ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด”
และผู้นำด้าน Mobile Banking Provider จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
และนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ
ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้านักลงทุนได้อย่างครอบคลุม
รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ทั้งจากธนาคารและบริษัทในเครือ
เพื่อเป็นทางเลือกและสามารถเข้าถึงนักลงทุนได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
และทุกระดับความเสี่ยงที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็น กองทุน หลักทรัพย์
บัญชีเงินฝาก ประกันชีวิต
เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยนำพาลูกค้าไปสู่เป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่ง
สามารถเผชิญกับความเสี่ยงที่อยู่รอบด้านในอนาคตได้อย่างมั่นคง
Wealth PLUS เติบโต 220%
KBank พัฒนาให้สมัครง่าย
นายศีลวัต สันติวิสัฎฐ์
รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า
ปัจจุบันคนไทยสนใจการลงทุนมากขึ้น และเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย
เพื่อสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงให้ชีวิต ทั้งนี้ ก่อนจะตัดสินใจลงทุน
ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดของสิ่งที่กำลังจะลงทุนด้วยให้เข้าใจ ที่สำคัญคือ
ต้องทำความเข้าใจกับตนเองให้ชัดเจน ทั้งความเสี่ยงที่รับได้ เป้าหมายในการลงทุน
ระยะเวลา และสไตล์การลงทุนของตัวเอง
คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้ดูได้ว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหน เช่น กองทุนรวม หุ้น
หรือประกัน
• กองทุนรวม มีจุดเด่นเรื่องใช้เงินเริ่มต้นลงทุนไม่มาก
และมีระดับความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้ ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำ เช่น
กองทุนรวมตราสารนี้ ไปจนถึงความเสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวมหุ้น
และยังมีกองทุนสายกลาง
ที่กระจายความเสี่ยงลงทุนทั้งในสินทรัยพ์ความเสี่ยงสูงและต่ำ
เพื่อให้ไม่เสี่ยงจนเกินไปและยังได้รับผลตอบแทนที่ดี
ที่สำคัญมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญดูแลให้
“ปัจจุบันลูกค้าสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ
เช่น K PLUS และ K-My Funds และสามารถลงทุนในกองทุนจาก
บลจ. ที่หลากหลาย รวมทั้งในกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงได้ผ่านแอป FinVest นอกจากนี้
ลูกค้าสามารถใช้ฟีเจอร์ Wealth PLUS บน K PLUS ที่ให้
ROBO Advisor ช่วยออกแบบพอร์ตกองทุนรวมโดยระบบจะคัดเลือกกองทุนเข้าพอร์ตให้ตามความเสี่ยงและเป้าหมายของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ
อีกทั้งยังมีระบบปฏิบัติการที่คอย ดูแลพอร์ตตลอด 24
ชม.และปรับพอร์ตให้อัตโนมัติเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบัน”
• หุ้น
เหมาะสำหรับคนที่ชอบศึกษาและลงทุนด้วยตัวเอง
ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถเปิดบัญชีหุ้นได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์
รวมถึงสามารถเปิดบัญชี Offshore เพื่อเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นทั่วโลกก็ได้
ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทุนในหุ้นควรเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่กระทบกับตลาด
ซึ่งอาจมีความผันผวนมากกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ
• ประกันชีวิต
ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงรักษาความมั่งคั่ง
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ
ซึ่งประกันก็มีหลายแบบให้เลือกตามความต้องการ
“คนไทยมีแนวโน้มลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นมากขึ้น
เพราะสะดวก สามารถบริหารจัดการได้เอง อีกทั้งยังเหมาะกับช่วงที่ต้อง Social
Distancing ทำให้สามารถลงทุนได้
โดยไม่จำเป็นต้องเดินออกไปข้างนอก นอกจากนี้
ยังพบว่าในช่วงสถานการณ์เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากโรคระบาดและปัจจัยอื่นๆ ทำให้ลูกค้าให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินและการลงทุนมากขึ้น
ปัจจุบัน ลูกค้ากองทุนรวมที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัล รวมช่องทาง K PLUS,
K-My Funds และ K-Cyber Invest) มีประมาณกว่า
74% ของลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40
แสนล้านบาท”
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้ากองทุนรวมหน้าใหม่จากฐานลูกค้าธนาคารกว่า 16 ล้านราย ซึ่งธนาคารเห็นว่ายังมีลูกค้าอีกจำนวนมาก ที่มีแนวโน้มจะลงทุนเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคง หลังจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิด-19
สำหรับช่องทาง Wealth PLUS มีการใช้งานเพิ่มขึ้น
220% จากที่เปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2563
จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในรอบปีที่ผ่านมา
ทำให้ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินมากยิ่งขึ้น ส่วนแอปพลิเคชั่น FinVest เปิดตัวเมื่อวันที่
17 พฤศจิกายน 2563 ขณะนี้มีผู้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น
และเปิดบัญชีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอจากนักลงทุนโดยการเข้ามาหาข้อมูลทั้งบนแอปพลิเคชั่น
และเว็บไซต์ รวมถึงมีการซื้อขายกองทุนจากนักลงทุนทั้งเพื่อการออม สร้างผลตอบแทน
และลดหย่อนภาษี
ส่วนการพัฒนาในระยะต่อไป สำหรับแอปพลิเคชั่น K-My
Funds นอกจากจะมีพอร์ตการลงทุนแนะนำเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนตามได้ง่ายๆ
พร้อมด้วยการส่ง Notification คำแนะนำจากผู้จัดการกองทุน
แจ้งสถานะของพอร์ตและคอยเตือนเมื่อกองทุนที่ถืออยู่มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญๆ
เพื่อให้ผู้ลงทุนปรับสัดส่วนการลงทุนได้ทันสถานการณ์ ในปีนี้ K-My Funds ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่
Smart Match ที่จะเลือกกองทุนที่ใช่กับสไตล์การลงทุนของผู้ลงทุน
โดยใช้ระบบ AI คัดเลือกกองทุนที่เหมาะสม
เพื่อช่วยให้การค้นหากองทุนที่ตรงกับความต้องการของผู้ลงทุนมากที่สุด
นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่น K-My Funds ยังเพิ่มความสะดวกให้ผู้ลงทุนเปิดบัญชีกองทุนกสิกรไทยผ่านระบบ
NDID ได้แล้ว สามารถทำเองได้ง่ายและรวดเร็ว
ด้วยการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID) กับเทคโนโลยีจดจำใบหน้า
(Facial Recognition) ที่มีความปลอดภัยสูง
ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว อีกทั้งยังสามารถทำเองได้ง่ายๆ
โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงสาขา
ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนี้ที่ลดการเดินทางออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น และที่สำคัญ
ยังไม่มีค่าบริการใดๆ อีกด้วย
“ทุกรูปแบบและช่องทางการลงทุน จะมีการปรับและเพิ่มความสามารถตลอดเวลาเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและมีประสบการณ์ที่ดีที่สุด ในส่วนของ FinVest ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไม่นาน แต่ในอนาคตอันใกล้ จะมีการเพิ่มทั้งในแง่ของกระบวนการสมัครที่สามารถทำได้ด้วย NFC chip บน Passport และระบบ NDID เพื่อการเข้าถึงการลงทุนได้สะดวกที่สุด ตลอดจนโปรดักต์ที่จะมีเพิ่มเติม ตั้งแต่ Offshore fund ในช่วงก่อนกลางปี ไปจนถึง ETF, IPO Funds, และโปรดักต์อื่นๆ ในอนาคตที่เป็นที่ต้องการของตลาด”
ติดตามได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนมีนาคม 2564 ฉบับที่ 467 บนแผงหนังสือชั้นนำทั้่วประเทศและในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi